พยาธิหรือปรสิตในสุนัขนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะกับน้องหมาที่เลี้ยงนอกบ้านต้องระวังเรื่องพยาธิให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเห็บ หมัด พยาธิหนอนหัวใจ และอื่นๆ ซึ่งพยาธิบางแบบก็สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย แต่บางแบบก็ต้องอาศัยสังเกตอาการผิดปกติของน้องหมาหรือจากการตรวจสุขภาพประจำปีเท่านั้น ซึ่งพยาธิในสุนัขจะมีอะไรบ้าง และต้องจัดการอย่างไร เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย
ทำความรู้จักพยาธิในสุนัข
พยาธิในสุนัขมีหลายแบบ โดยแบ่งได้ตามแหล่งที่อยู่อาศัย ดังนี้
ปรสิตภายใน
ปรสิตภายในแบ่งออกได้เป็น พยาธิหนอนหัวใจและพยาธิลำไส้ ดังนี้
พยาธิหนอนหัวใจ
สุนัขจะติดโรคจากยุงที่มีเชื้อ พยาธิเหล่านี้จะเติบโตในหัวใจและปอดของสุนัข และอาจมีขนาดกว่า 1 ไม้บรรทัด จนไปขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เจ้าของสามารถช่วยป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วยการรับวัคซีนเป็นประจำจากสัตวแพทย์ ซึ่งพยาธิหนอนหัวใจยังสามารถติดต่อมายังคนผ่านยุงอีกด้วย
พยาธิลำไส้
พยาธิลำไส้ในสุนัขพบได้หลายประเภท โดยมักได้รับพยาธิผ่านการกินดิน น้ำ หรืออาหารที่ปนเปื้อน ดังนี้
1. พยาธิปากขอ
พยาธิชนิดนี้เป็นชนิดที่พบบ่อยในสุนัข โดยมีขนาดเล็ก มักอาศัยอยู่ภายในระบบย่อยอาหารของสุนัข สามารถติดได้จากแม่ หรือจากสุนัขอื่น ผ่านการกินไข่พยาธิหรือโดนพยาธิไชเข้าไปในร่างกาย และเนื่องจากพยาธิชนิดนี้อาศัยในดินทำให้เกิดการติดได้ง่าย นอกจากนี้พยาธิชนิดนี้ยังสามารถติดต่อไปยังคนได้อีกด้วย
2. กลาก
จริงๆ แล้วกลากเป็นเชื้อราชนิดหนึ่ง ไม่ใช่พยาธิ แต่จัดอยู่ประเภทเดียวกันกับพยาธิลำไส้ โดยมักเกิดกับลูกสุนัขที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่ค่อยแข็งแรง รวมไปถึงสุนัขโตที่ขาดสารอาหาร เครียด มีปัญหาด้านระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งกลากเป็นเชื้อราที่ติดต่อกันได้ง่าย
3. พยาธิตัวกลม
นับเป็นพยาธิชนิดที่พบได้บ่อย ซึ่งสำหรับลูกสุนัขก็มีความเสี่ยงมากที่สุด พยาธิตัวกลมจะมีสีขาว เหมือนเส้นสปาเกตตีกลมๆ มีความยาว 1-3 นิ้ว ติดต่อผ่านการกินไข่พยาธิ หรือการส่งต่อตัวอื่นจากแม่ระหว่างตั้งครรภ์หรือผ่านนมแม่โดยพยาธิตัวกลมจะดูดซึมสารอาหารที่สุนัขกินเข้าไป ทำให้สุนัขขาดสารอาหาร พยาธิตัวกลมสามารถติดต่อไปยังสุนัขอื่นและคนได้ โดยทำให้มีอาการอักเสบและอาจชอนไชเข้าไปอยู่ยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆ ของคนได้
4. พยาธิตัวตืด
พยาธิตัวตืดจะเข้าไปในร่างกายสุนัขผ่านการกินสิ่งต่างๆ ที่มีไข่ของพยาธิตัวตืด อย่างเช่นหมัด หรือการกินเนื้อดิบ โดยเจ้าของจะสามารถสังเกตเห็นพยาธิอยู่รอบๆ รูก้น หรือในอุจจาระ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าว อย่างไรก็ดี พยาธิตัวตืดมักไม่สร้างปัญหามากนัก
5. พยาธิแส้ม้า
พยาธิอีกชนิดที่พบได้บ่อยในสุนัข โดยพยาธิชนิดนี้จะเข้าไปในร่างกายสุนัขผ่านการเลียหรือสูดดมพื้นดินที่ปนเปื้อนพยาธิ ขนาดเต็มวัยของพยาธิชนิดนี้มีขนาดไม่ถึง 1 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย พวกมันจะอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของสุนัขและดูดเลือดเป็นอาหาร สำหรับพยาธิชนิดนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้ในอุจจาระสุนัข แต่อุจจาระของสุนัขจะมีเมือกปน
ปรสิตภายนอก
ปรสิตภายนอกเป็นปรสิตที่เราคุ้นเคยดี นั่นก็คือเห็บ หมัด เหาและโลน
เห็บ
เห็บนั้นเป็นแมลงที่นำพาโรคร้ายถึงแก่ชีวิตมาให้สุนัข อย่างโรคไลม์ โรคเออร์ลิชิโอสิส และโรคไข้พุพองเทือกเขาร็อกกี้ ซึ่งในโลกนี้มีเห็บกว่า 800 สปีชีส์ที่ล้วนแล้วแต่กินเลือดของสัตว์อื่นเป็นอาหาร เจ้าของจึงควรพาสุนัขไปตรวจหาเห็บเป็นประจำทุกๆ ปี หากสุนัขมีเห็บ ให้หยิบออกทันที โดยอาจเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรือวาสลีนก่อนคีบเห็บออก และทิ้งเห็บลงในขวดที่มีแอลกอฮอล์
หมัด
หมัดเป็นแมลงไม่มีปีกที่อาศัยอยู่ตามร่างกายของสัตว์ สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านสิ่งแวดล้อม สิ่งของ ฯลฯ แผลจากหมัดกัดทำให้สุนัขทรมานมาก บางตัวถึงกับกัดและข่วนตัวเอง หากเจ้าของพบหมัดอยู่บนสุนัขให้นำออกทันทีก่อนที่จะแพร่พันธุ์ไปทั่ว หมัดบางตัวก็กัดคนด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดแผลสีแดงเล็กๆ และคัน ในบริเวณข้อมือและข้อเท้าคน โดยหมัดจะชอบอยู่ในบริเวณที่ขนหนา บางครั้งจะมีจุดดำเล็กๆ เยอะๆ นั่นคือของเสียที่หมัดทิ้งไว้
เหาและโลน
สัตว์ทั้งสองชนิดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของสุนัขและทำให้เกิดอาการคัน ขนร่วง และอาการติดเชื้อ สามารถติดต่อกันได้ผ่านการพบปะสุนัขที่มีเหาและโลน รวมถึงจากบริเวณที่อยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดสร้างปัญหาสุขภาพให้กับสุนัขในแบบที่คล้ายๆ กัน โดยสามารถกำจัดเหาได้ด้วยน้ำยาฆ่าเห็บหมัด ส่วนโลนจะอาศัยอยู่ทั่วๆ ตัวสุนัข และอาจทำให้เกิดอาการขี้เรื้อน
อาการที่เกิดจากพยาธิในสุนัข
อาการป่วยที่เกิดจากพยาธิจะแตกต่างกันไปตามส่วนที่พยาธิอาศัย ดังนี้
ปรสิตภายใน
สุนัขที่ป่วยเนื่องด้วยปรสิตภายในจะมีอาการหลักๆ คือ ท้องเสีย (อาจมีเลือดหรือเมือกปนด้วย), อาเจียน, น้ำหนักลด, เบื่ออาหาร, ช่องท้องบวม, นิ่งเฉยผิดปกติ, นั่งแล้วไถตัวไปกับพื้น, พบปรสิตในอุจจาระ, ไอ, หายใจลำบาก เป็นต้น ซึ่งอาการโดยเฉพาะที่เกิดจากปรสิตแต่ละชนิดมีดังนี้
พยาธิหนอนหัวใจ
เมื่อเลือดไหลเวียนได้ช้าลง สุนัขที่มีพยาธิหนอนหัวใจจะมีอาการไอเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ อาจเหนื่อยง่ายหลังจากการออกกำลังกายเบาๆ กินได้น้อยลง และสำหรับตัวที่มีอาการหนักก็อาจมีอาการหัวใจวายได้
พยาธิลำไส้
พยาธิลำไส้แต่ละชนิดก็ทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. พยาธิปากขอ
เมื่อเกาะตัวกับผนังลำไส้แล้ว พยาธิชนิดนี้จะดูดเลือดสุนัขเป็นอาหาร นี่จะทำให้สุนัขเสียเลือดมาก ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงในลูกสุนัข นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องเสีย ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด และโลหิตจางอีกด้วย
2. กลาก
สุนัขที่มีกลากจะมีแผลอยู่บนหัว หู อุ้งเท้า และขาหน้า ซึ่งแผลนี้จะเป็นจุดที่ขนร่วงจนหมด และอาจมีรอยแดงอยู่ตรงกลาง สำหรับสุนัขที่อาการหนัก กลากอาจแพร่ไปทั่วร่างกายเลยทีเดียว
3. พยาธิตัวกลม
สุนัขจะมีอาการไอ คลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน อ่อนเพลีย ท้องบวม รวมไปถึงขาดสารอาหาร
4. พยาธิตัวตืด
เมื่อมีพยาธิตัวตืดในร่างกาย สุนัขจะน้ำหนักลด และอาจมีท้องเสียเป็นครั้งคราว โดยมีอาการที่เห็นได้ชัดคือคันบริเวณรูก้นที่พยาธิอาศัยอยู่ จนทำให้สุนัขทำท่านั่งแล้วไถไปกับพื้นเพื่อแก้คัน ในรายที่อาการหนัก อาจมีการอุดตันบริเวณลำไส้ได้
5. พยาธิแส้ม้า
เมื่อมีพยาธิแส้ม้าในร่างกายจะมีอาการหลายแบบ ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงน้ำหนักลด ท้องเสีย โลหิตจาง
ปรสิตภายนอก
อาการที่เกิดจากปรสิตภายนอกหลักๆ จะมีการเกามากผิดปกติ เคี้ยวปาก ผิวหนังแดง อักเสบ ขนร่วง สีผิวเปลี่ยนไป และหยาบกระด้าง ขนแห้ง มีรังแค มีจุดดำในหู มีเห็บ หมัด หรือจุดดำๆ ตามขน และอยู่ไม่สุข โดยอาการเฉพาะโรคจากปรสิตภายนอกแต่ละแบบ จะเป็นดังนี้
เห็บ
การมีเห็บอาจทำให้สุนัขเสียเลือดได้มาก แต่มักจะเกิดกับสุนัขจรที่ไม่ได้รับการดูแล ส่วนโรคภัยที่มากับเห็บนั้นใช้เวลาในการแพร่เชื้อทำให้หากเจ้าของเอาเห็บออกได้ทัน ก็จะปลอดภัยจากเชื้อโรคที่มากับเห็บ แต่หากได้รับเชื้อจากเห็บแล้วก็อาจติดโรคได้หลายโรค รวมไปถึงโรคอัมพาตจากเห็บที่ทำให้สุนัขเป็นอัมพาตจากบริเวณหลังขึ้นมาบริเวณหัว ซึ่งนี่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากน้องหมาเป็นอัมพาตบริเวณอวัยวะที่สำคัญในการหายใจ แต่ก็ยังสามารถรักษาได้ถ้าเจอตัวเห็บและเอามันออกทันเวลา
หมัด
เมื่อโดนหมัดกัดจะทำให้เกิดอาการคันบริเวณผิวหนัง รวมไปถึงอาการติดเชื้อที่ผิวหนัง โดยหมัดยังเป็นพาหะของพยาธิตัวตืด ซึ่งเมื่อสุนัขกินเข้าไปก็จะทำให้ไข่ของพยาธิตัวตืดเข้าไปในร่างกายสุนัข หากมีหมัดจำนวนมาก จะส่งผลให้เกิดอาการโลหิตจางได้ นอกจากนี้หมัดอาจติดต่อไปยังแมวได้อีกด้วย
เหาและโลน
เมื่อสุนัขมีเหาหรือโลนอยู่บนตัว จะมีอาการคัน ขนหยาบ ขนร่วงบริเวณหน้าผาก ดวงตา ปาก รวมไปถึงด้านหน้าของเท้า อยู่ไม่สุข และอาจมีอาการติดเชื้อ หรือในตัวที่อาการรุนแรงอาจมีอาการโลหิตจาง ซึ่งลักษณะเด่นคือสุนัขจะมีอาการเกาหู และสะบัดหน้าบ่อยๆ
วิธีการรักษาพยาธิในสุนัข
การรักษาพยาธิในสุนัข สามารถแบ่งได้ตามประเภทของพยาธิ ดังนี้
ปรสิตภายใน
การรักษาปรสิตภายใน แบ่งออกเป็นการรักษาพยาธิหนอนหัวใจและพยาธิลำไส้ ซึ่งสัตวแพทย์จะต้องทำการตรวจว่าเป็นพยาธิชนิดไหน ก่อนจะเริ่มทำการรักษา เนื่องจากไม่มียาสำหรับการรักษาปรสิตทุกชนิดพร้อมกัน
พยาธิหนอนหัวใจ
สุนัขที่มีพยาธิหนอนหัวใจอาจไม่มีอาการใดๆ แสดง โดยจะตรวจพบจากการตรวจเลือดย่างละเอียดเท่านั้น แต่ก็สามารถตรวจพบได้แค่พยาธิหนอนหัวใจตัวเต็มวัยอย่างเดียว ทำให้หากมาตรวจเร็วไปก็อาจจะยังไม่เจอพยาธิ การรักษาโรคนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงและค่อนข้างสร้างความเจ็บปวดให้กับสุนัข โดยสามารถรักษาได้ด้วยการให้ยาฆ่าพยาธิ หรือในกรณีที่หนักก็ต้องทำการผ่าตัด
พยาธิลำไส้
หลักๆ สัตวแพทย์จะทำการส่องกล้องดูในอุจจาระของสุนัขเพื่อวินิจฉัย ก่อนทำการรักษา ดังนี้
1. พยาธิปากขอ
หากพบว่าเป็นพยาธิปากขอ สัตวแพทย์จะทำการถ่ายพยาธิให้สุนัข ซึ่งจะต้องทำซ้ำๆ เพื่อฆ่าตัวอ่อนของพยาธิให้หมด
2. กลาก
สำหรับกลากจะทำการรักษาโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สัตวแพทย์อาจให้แชมพูหรือยาทาเพื่อฆ่าเชื้อรา สำหรับตัวที่อาการรุนแรงอาจต้องใช้ยากินรวมไปถึงตัดขน
3. พยาธิตัวกลม
หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่ามีพยาธิตัวกลมในสุนัข สัตวแพทย์จะทำการให้ยาถ่ายพยาธิ รวมถึงยาอื่นๆ เพื่อปราบพยาธิตัวกลมอย่างอยู่หมัดก่อนที่มันจะโตเต็มวัย ดังนั้นจึงต้องทำการถ่ายพยาธิอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้พยาธิตัวกลมกลับมาได้อีก
4. พยาธิตัวตืด
สัตวแพทย์จะวินิจฉัยขนบริเวณรอบรูก้นควบคู่ไปกับการตรวจอุจจาระ สุนัขจะได้รับยาฉีด หรือยากิน ซึ่งจะสามารถกำจัดพยาธิได้อย่างอยู่หมัด และจะมีการกำจัดหมัด รวมถึงเจ้าของต้องป้องกันไม่ให้สุนัขกินสัตว์อื่นแบบดิบๆ
5. พยาธิแส้ม้า
ถึงจะเป็นพยาธิที่ไม่สร้างอันตรายถึงชีวิต แต่เมื่อตรวจพบว่าสุนัขมีพยาธิแส้ม้า ก็จะต้องทำการถ่ายพยาธิให้เรียบร้อย อย่างไรก็ดีพยาธิแส้ม้าเป็นชนิดที่ทนทานต่อยาถ่ายพยาธิหลายยี่ห้อ ทำให้ต้องใช้ตัวอื่นๆ แทน ดังนั้นต้องอย่าลืมดูแลพื้นที่อยู่อาศัยของสุนัขให้สะอาดเสมอ เพื่อป้องกันการรับพยาธิเข้าร่างกาย
สำหรับในกรณีที่อาการหนัก สุนัขอาจจะมีอาการขาดน้ำ โลหิตจาง และการติดเชื้อทุติยภูมิขึ้นได้ สัตวแพทย์จะทำการรักษาโรคอื่นๆ ไปควบคู่กับการรักษาพยาธิ
ปรสิตภายนอก
สำหรับการรักษาปรสิตภายนอก จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นปรสิตชนิดไหน ดังนี้
เห็บ
หากเป็นเห็บปริมาณน้อย เจ้าของสามารถทำการดึงออกจากสุนัขได้เอง แต่ในกรณีที่มีปริมาณมากจนทำให้สุนัขเสียเลือด ต้องนำสุนัขไปให้สัตวแพทย์รักษา โดยจะมีการใช้ยาฆ่าแมลง และสุนัขอาจได้รับยาหลายชนิดเพื่อกำจัดเห็บให้หมดสิ้น นอกจากนี้ยังควรนำสุนัขไปพบแพทย์ในกรณีที่มีเห็บอยู่ในหูของสุนัข, รอยบวมแดงจากเห็บไม่หายไปภายใน 2-3 วัน, สุนัขมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป และมีอาการของโรคที่เห็บเป็นพาหะ
หมัด
สำหรับโรคที่เกิดจากพาหะอย่างหมัด สุนัขจะได้รับยาปฏิชีวนะที่สามารถจัดการโรคเหล่านี้ได้ทั้งหมด และสัตวแพทย์จะมียา สเปรย์ หรือแป้งสำหรับกำจัดหมัด
เหาและโลน
สัตวแพทย์สามารถทำการกำจัดเหาและโลนได้ด้วยยาฆ่าแมลง แชมพูอาบน้ำ หวีขน และการตัดขนบริเวณที่พันกันออก เพื่อไม่ให้กลับมาได้อีก ซึ่งเมื่อกลับบ้านเจ้าของก็ต้องดูแลความสะอาดบริเวณที่อยู่อาศัยของสุนัข และอุปกรณ์ตัดแต่งขน
การป้องกันพยาธิในสุนัข
สุนัขอาจได้รับพยาธิและปรสิตมาจากหลายแหล่ง ซึ่งเจ้าของสามารถป้องกันได้ ดังนี้
รับวัคซีนและถ่ายพยาธิ
สุนัขทุกตัวควรรับวัคซีนเพื่อป้องกันพยาธิและทำการถ่ายพยาธิให้ครบตามกำหนด โดยเฉพาะสุนัขที่เลี้ยงนอกบ้านที่ทำให้ไม่สามารถป้องกันโรคที่มียุงเป็นพาหะได้
ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
นอกเหนือไปจากการรับวัคซีนและถ่ายพยาธิแล้ว การตรวจสุขภาพก็ช่วยให้เจ้าของรู้ว่าสุนัขกำลังมีอาการป่วยหรืออาการผิดปกติ สุนัขควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง และอาจเพิ่มเป็น 2 ครั้งในสุนัขสูงอายุ หรือสุนัขที่มีอาการป่วยเรื้อรัง
เว้นระยะห่างจากสุนัขที่เป็นโรค
หากมีสุนัขมากกว่าหนึ่งตัว ก็ควรให้แยกบริเวณกันอยู่ไปก่อน โดยเฉพาะหากเป็นโรคกลากซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื้อรายังมีอายุนานนับเดือนหลังจากเริ่มพบรอยโรค ส่วนสุนัขที่นำมาเล่นด้วยกันบ่อยๆ ก็ควรดูให้มั่นใจว่าไม่มีอาการผิดปกติ และหากมีประวัติป่วยก็ควรงดเว้นการเล่นด้วยกันตามระยะที่สัตวแพทย์แนะนำ
สังเกตอาการของสุนัขอย่างสม่ำเสมอ
หากสุนัขน้ำหนักลด มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป อาเจียน ท้องเสีย ฯลฯ ให้ปรึกษากับสัตวแพทย์ทันที
ดูแลความสะอาดของพื้นที่อยู่อาศัย
พยาธิบางชนิดนั้นเข้าสู่ร่างกายสุนัขผ่านการกินหรือเลีย ซึ่งเจ้าของสามารถป้องกันปัญหานี้ได้ด้วยการทำความสะอาดชามน้ำ ชามอาหาร และพื้นที่อยู่อาศัยไม่ให้มีพยาธิมาแอบอาศัยอยู่ได้ รวมไปถึงไม่ให้อยู่ใกล้ซากศพสัตว์อื่น และถังขยะ ที่อาจมีไข่พยาธิปนอยู่
สรุปเรื่องพยาธิในสุนัข
พยาธิในสุนัขนั้นมีหลายชนิด โดยแบ่งออกเป็นปรสิตภายในคือพยาธิหนอนหัวใจ ที่เติบโตในหัวใจและปอด และพยาธิลำไส้ ที่แบ่งออกเป็นพยาธิปากขอ กลาก พยาธิตัวกลม พยาธิตัวตืด และพยาธิแส้ม้า ส่วนปรสิตภายใน มีเห็บ หมัด เหา และโลน ซึ่งอาการจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและปริมาณพยาธิที่มี ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือพยาธิหนอนหัวใจที่อาจรุนแรงจนทำให้น้องหมาหัวใจวาย และเห็บซึ่งทำให้เกิดโรคอัมพาตจากเห็บได้ ส่วนการรักษาก็จะต้องทำการวินิจฉัยก่อนว่ากำลังมีพยาธิชนิดใดอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะปรสิตภายในที่มีหลายชนิด ซึ่งสามารถตรวจจากอุจจาระของสุนัขได้ และให้ยาถ่ายพยาธิ หรือยาอื่นๆ ตามโรค ส่วนปรสิตภายนอก เจ้าของสามารถหยิบออกได้เองหากยังมีจำนวนไม่มาก และนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับยาฆ่าแมลง แชมพู แป้ง ฯลฯ สำหรับฆ่าเห็บ หมัด เหาและโลน การป้องกันพยาธิในสุนัขทำได้ไม่ยาก เพียงรับวัคซีน ถ่ายพยาธิอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เว้นระยะห่างจากสุนัขที่เป็นโรค หมั่นสังเกตอาการของสุนัข
เลือก JOMO ให้ดูแลสุขภาพสุนัขของคุณ เพราะใน JOMO อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นของสุขภาพของน้องหมา โดยหนึ่งนั้นก็มี แมนแนนโอลิโกแซคคาไรด์ (MOS) ซึ่งเป็นสารพรีไบโอติกส์จากธรรมชาติ ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งจากภายในให้น้องหมาแสนรักของคุณ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ไม่ดีในลำไส้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก และรักษาอาการท้องเสีย สั่งซื้อครั้งแรก รับทันที 50 JOMO Points มูลค่า 50 บาท ส่งฟรีทั่วไทย
พยาธิในสุนัขอันตรายไหม
ขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิในสุนัข แต่หากพบชนิดอันตรายอย่างพยาธิปากขอในลูกสุนัข หรือพยาธิหนอนหัวใจก็อาจทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้
ทำไมต้องพาหมาไปถ่ายพยาธิ
เพราะยาในปัจจุบันยังไม่สามารถฆ่าพยาธิได้ทุกชนิด การถ่ายพยาธิจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาพยาธิทุกชนิดที่อยู่ในร่างกายของสุนัขออกมา และป้องกันไม่ให้พยาธิเติบโตจนเกิดโรคต่างๆ กับสุนัขได้
วิธีป้องกันพยาธิในสุนัข
รับวัคซีนป้องกันและทำการถ่ายพยาธิอย่างสม่ำเสมอ โดยอย่าลืมสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับสุนัข ทำความสะอาดพื้นที่อยู่อาศัยของน้องหมา และอยู่ห่างจากสุนัขที่เป็นโรค